ก่อนที่จะไปดูว่า Value Chain ช่วยให้เกิด Competitive Advantage ได้อย่างไรนั้น ขอให้เข้าใจก่อนว่า Competitive Advantage หมายถึงอะไร

Competitive Advantage หมายถึง ความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่ง Michael E. Porter ได้แบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์ ได้แก่
1. Differentiation
2. Cost Leadership
3. Focus

หากองค์กรใดไม่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่โดดเด่นได้ องค์กรนั้นจะติดอยู่ตรงกลาง (Stuck in the Middle) คือ ไม่มีกลยุทธ์อะไรที่โดดเด่นกว่าองค์กรอื่น

นอกจากนี้ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนได้ (Sustainable) จะต้องรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้
1. Quality สร้างสรรค์สินค้า/บริการที่มีคุณภาพ
2. Customer Satisfaction ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ
3. Efficiency ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
4. Innovation มีนวัตกรรมใหม่ๆ สร้างสรรค์สิ่งใหม่


การนำ Value Chain มาใช้ให้เกิด Competitive Advantage ด้านการเป็นผู้นำต้นทุน (Cost Leadership) หรือด้านการเป็นผู้นำความแตกต่าง (Differentiation)
ในกระบวนการทำ Value Chain นั้น เราจะพิจารณาในแต่ละกิจกรรมของห่วงโซ่คุณค่า ว่ามีกิจกรรมใดที่สามารถช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับองค์กรได้บ้าง เช่น 1.) ในกิจกรรม Inbound Logistics อาจจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยในการจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวัตถุดิบคงค้างจนหมดอายุในสต๊อกสินค้า, การออกแบบคลังสินค้าให้สามารถจัดเก็บสินค้าได้ในปริมาณมากๆ เพื่อประหยัดพื้นที่, การนำอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้ามาใช้จะช่วยให้เกิดการขนส่งวัตถุดิบได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น 2.) ในกิจกรรม Operations ก็อาจจะนำระบบสายพาน มาช่วยให้สามารถเคลื่อนสินค้าระหว่างผลิตไปยังกระบวนการถัดไปได้รวดเร็วขึ้น ช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตให้สั้นลง 3.) Outbound Logistics อาจนำระบบ Barcode หรือ RFID มาช่วยในการจัดการสินค้า เพื่อให้สามารถติดตามค้นหาสินค้าได้ง่ายขึ้น รวดเร็วมากยิ่งขึ้น 4.) Marketing & Sales ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของอินเตอร์เน็ต มาช่วยในการโปรโมทสินค้า/บริการ .... เป็นต้น





0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

top